10/26/2010

BIFW 2010 Winter - 27Nov.

______________________________________________________________________________________________________________________________________

27Nov. - Surf Surf Revolution

ได้ยินมาว่าทางฝ่ายดีไซเนอร์บอกว่างานนี้ใช้นายแบบเยอะมาก 
แถมปล่อยทีเซอร์ออกมาทีละนิดทีละหน่อยไม่วายทำให้หลาย ๆ คนอยากแห่แหนกันไปดูโชว์นี้เต็มที่
แต่ละคนเตรียมเช็ดน้ำหมากกันเลยทีเดียวหลังจากที่รู้ว่าครั้งนี้มีชุดว่ายน้ำแน่ ๆ!!!!
เช็ดน้ำหมากรอให้ถึงวันกันเลยทีเดียว

ถ้าพูดว่า Zenith เป็นโชว์ที่คนอยากรอดูนายแบบผู้ใหญ่เซ็กซี่ ๆ มากที่สุดโชว์นึง (ไม่นับ Amat ที่มาแรงแซงโค้งไปแล้ว)
27Nov. ก็คงเป็นโชว์ที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอดูนายแบบเด็ก ๆ วัยขบเผลาะในแบบเซ็กซี่ ๆ ก็คงไม่ผิด 

ได้ยินมาว่า 27Nov. อยากช่วยน้อง ๆ ให้แจ้งเกิดกันเลยยินยอมให้น้อง ๆ ฟรีเซนต์ตัวเองให้เต็มที่
ผลคือความมั่นใจที่มากขึ้นและการเดินผิด ๆ ถูก ๆ ครับ (ผมเข้าใจถูกใช่มั้ยครับว่าเค้าเดินกันผิดอีกแล้ว)
 เอาเป็นว่ามันไม่ใช่ประเด็น ไม่มีใครสนใจด้วยมั้งเพราะทุกคนซูมไปที่เรือนร่างของนายแบบเป็นแน่แท้

เริ่มโชว์ด้วยการให้นายแบบเดินออกมาชุดนึงแล้วก็เดินกลับไป"ถอด"เหลือเพียงการเกงว่ายน้ำเป็นตัวประกอบฉากอยู่ด้านหลังแล้วก็เป็นการเดินแบบออกมาเรื่อย ๆ ของบรรดานายแบบทั้งหลาย
(เหมือนโชว์อะไรน๊าาาาา?)


จะว่าไปหลาย ๆ คนแอบอึ้งเล็กน้อยตอนเข้าฮอลล์ว่ากรูย้อนเวลากลับมาที่โชว์ของ 27Friday หรอฟะ
ทำไม catwalk มันแลดูคุ้น ๆ เหมือนพบเจอกันมาก่อน เอาน่ะ รีไซเคิลก็ดีกว่าเอาไปทิ้งเป็นขยะเปล่า ๆ
+ ใคร ๆ ก็พูดว่าเริ่มเบื่อกับ 27Friday และ 27Nov. ละ เพราะเสื้อผ้าเริ่มดูเดิม ๆ เหมือนแค่เปลี่ยนผ้าเปลี่ยนลายแล้วก็วางขาย
ผมไม่ได้พูดอะไร.....ได้แค่ผงกหัว 10 ครั้งต่อวินาที



















update*
เรื่อง Theme งานกับ ผลงาน ของทางร้านดูไม่ไปด้วยกัน? อันนี้ขออนุญาตอธิบายให้ฟังง่ายๆคือ "กลุ่มลูกค้า" ของทางแบรนด์ครับ หากย้อนกลับไปในปีก่อนๆช่วงที่ทางแบรนด์โชว์ตาม Theme งาน ก็จะมี "In The Mood for Love" & "Melancholy Collection" ที่เป็นคอลเลคชั่น autumn winter ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็น Autumn/Winter ตามThemeงานเป๊ะๆ แต่ผลปรากฎว่า ลูกค้าต่างชาติซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของทางร้าน คือ ซาอุดิอาระเบีย คูเวต บาเรน และ ฮ่องกง กลับไม่ให้ความสนใจในคอลเลคชั่นเหล่านั้นเท่าที่ควร!?! ซึ่งทำให้ทางร้านต้องทำงานสองครั้ง คือทำเพื่อเดินแบบตอบสนองธีมงาน แล้วก็ปรับเปลี่ยนผ้าเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า เพื่อทำเสนอให้กับลูกค้าได้ดูและตัดสินใจ

คิดภาพนะครับ หากลูกค้ามาดูคอลเลคชั่น autumn winter ของทางร้าน แล้วเห็นแต่ผ้าหนาๆ ซึ่งลองคิดถึงสภาพอากาศบ้านเขา (กลุ่มตะวันออกกลาง) และรวมถึงลูกค้าในประเทศเองก็ตามแต่ ไม่ให้ความสนใจกับฤดูเท่าใดนัก เพราะ "ร้อนเป็นหลัก" ดังนั้นเพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า และประกอบกับเศรษฐกิจยุคนี้อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัด ทางร้านเลยทำเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากกว่าธีมงานครับ ยุคนี้บอกตรงๆครับทำเอากล่องก็เท่านั้น เพราะทำดีเท่าไหร่ก็เสมอตัว แต่หากทำพลาดไปนิดนึงโดนถล่มทันทีครับ อย่างที่รู้ๆกันครับว่าโลกในยุคอินเตอร์เน็ตมัน "น่ากลัว" เหมือนกับหลายๆเวปทั้งไทยและเทศ ที่จะพยายามจับเอาคอลเลคชั่นคนโน้นมาชนกับคนนี้ ทรงคล้ายกันก็หาว่าก็อปกัน วัสดุหรือวัตถุดิบเหมือนกันก็ไปบอกว่าลอกเขามา คือเอาจริงๆทำอะไรก็ผิดแหล่ะครับ (ฮา) ดังนั้นเลยขอทำตามความต้องการของพี่สิทธิ์ และตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าหลักคงจะดีกว่าสำหรับเศรษฐกิจยุคนี้ครับ

เราเคยทำ She has been waiting... หวังจะให้เป็น Spring Summer 2010 (เดินปลายปี 2009) แต่จริงดังว่าครับ คนไทยไม่รอขอซื้อก่อน ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนแผนการใหม่อีกรอบนำออกมาขายหลังเดินเสร็จ แล้วก็ทำเสื้อผ้าเป็น cruise collection หรือ pre-sping ให้ลูกค้าต่างชาติแทนครับ หลายคนบอกว่าก็ให้ทำล่วงหน้าสิ? แต่บอกตามตรงครับพี่สิทธิ์ทำงานหลายอย่าง และมีเสื้อผ้าสองแบรนด์ บวกกับปัญหาการเมืองเมื่อปีก่อนทำให้ตารางทุกอย่างรวนไปหมด เลยต้องเริ่มต้นกันใหม่ในทุกๆเรื่องครับ (ช่างเย็บก็หายไป ช่างแพทเทิร์นก็หาย ด้วยปัญหาส่วนตัวสองสามราย ก็กระทบกระบวนการผลิตเหมือนกันครับ)

ทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่ายๆครับ ปัญหาต่างๆเยอะมาก หากหวังกล่องอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงยอดขาย คงต้องมีเงินทุนมหาศาลทีเดียวครับ แต่นี่พี่สิทธิ์เริ่มต้นจากติดลบ (หลังจากแยกหุ้นกับเพื่อนสมัย Time's End) แล้วก็เริ่มต้นใหม่กับ 27Friday เศรษฐกิจก็ไม่ได้ดีอะไรนัก ประกอบกับปัญหาในประเทศ วิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้จะทำอะไรแต่ละครั้งต้อง "คิด" มากขึ้นกว่าเดิมครับ

ไหนๆก็พูดถึง 27Friday ไปแล้ว ขออธิบายไปถึง 27Nov. ด้วยเลยนะครับ (ก่อนที่จะมีคนมึนขึ้นมาอีก - ฮา) ชื่อคอลเลคชั่น 27Nov. Surf Surf Revolution อาจจะฟังดูคุ้นหูหลายๆคน ยอมรับเลยครับว่าแรงบันดาลใจแรกมาจาก "หนัง AV รถตู้ของญี่ปุ่น" ที่เด็กๆโดนหลอกขึ้นรถตู้อะไรประมาณนั้น แต่ละคนไม่ได้หล่อไม่ได้ดูดี แต่มันมีเสน่ห์นะ? (อันนี้อย่าหาว่าลามกนะครับ เพราะที่จริงแล้วมันต้องหาให้เจอว่า อะไรคือเสน่ห์ของคนเหล่านั้นถึงโดนหลอกขึ้นรถตู้ 555) จริงๆเหตุผลหลักก็คือ Sex Sale แหล่ะครับ... ใครได้ยินชื่อคอลเลคชั่นก็คงจะนึกถึงหนังเรื่องนั้นไปโดยปริยายครับ แล้วก็คงอยากจะมาดูกันมากขึ้น? (อันนี้ใช้กลยุทธตีหัวเข้าบ้าน หลอกคนให้เต็มเตนท์ครับ - ฮา)

พี่สิทธิ์ชอบความ Real ของคนซึ่งจะเห็นได้ว่าในแต่ละคอลเลคชั่นของ 27Nov. จะไม่ได้มีนายแบบรูปหล่อ เพอร์เฟคต์ เป็นนายแบบโปรเฟสชั่นแนลทุกคนเต็มเวทีเสียเมื่อไหร่? พี่สิทธิ์พยายามจะหานายแบบหน้าใหม่ ซึ่งนายแบบใหม่ๆนี้คงจะ "ยาก" ที่จะเพอร์เฟคต์ แต่ในขณะเดียวกันเขาเหล่านี้ก็ "ยาก" ที่จะได้โอกาสจากแบรนด์อื่นๆ เพราะบางคนก็ไม่ได้สูงเกิน 180 เหมือนอย่างที่บางแบรนด์เรียกร้อง หรือกำหนดเป็นมาตรฐานส่วนสูงขั้นต่ำของนายแบบ แต่นายแบบที่ทางแบรนด์เลือก คือนายแบบที่มีบุคลิก คาแรคเตอร์ รูปร่างหน้าตาระดับหนึ่ง แล้วจับเขาเหล่านั้นมาทำผมใหม่ แต่งเนื้อแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของทางแบรนด์ ซึ่งจุดนี้แหล่ะครับที่ผมถือว่า "เป็นจุดแข็ง" ของการพรีเซนต์เสื้อผ้าของ 27Nov. เพราะลองสำรวจดูตัวเองและเพื่อนๆนะครับ เราเพอร์เฟคต์เป็นนายแบบกันไหม? หรือในกลุ่มเราๆท่านๆ มีแต่คนหน้าตาดี? (อันนี้ไม่ได้ว่านะครับ แต่พยายามอธิบายให้เห็นภาพ - ฮา) บ่อยครั้งที่เราไปดูแฟชั่นโชว์แล้วเราเห็นนายแบบ นางแบบใส่เสื้อผ้าแล้วร้องโอ้โห... สวยจังเลย หล่อจังเลย แต่พอเราเข้าไปลองเอง กลับต้องเดินคอตกออกมาว่า "ทำไมมันไม่เป็นอย่างบนเวทีล่ะเนี่ย" (ไม่ทราบใครเคยรู้สึกอย่างนี้ไหมครับ?) เพราะจุดนี้แหล่ะครับ ทำให้ทางแบรนด์เลือกเอาคนธรรมดาสามัญหน้าตาไม่ได้หล่อเหลาอะไรนัก มาใส่เสือผ้า และเดินเป็นคนปกติบนเวที เพื่อแสดงให้เห็นว่า หากเลือกเสื้อผ้าได้ถูกกับบุคลิก รูปร่าง ของแต่ละคนแล้ว เราๆท่านๆก็สามารถที่จะดูดีได้ครับ อันนี้ไม่เชื่อก็ต้องลองพิสูจน์ดูนะครับ ด้วยการไปซื้อเสื้อผ้าของ 27Nov. มาไว้ในตู้สักคนละสองสามชิ้นก็ยังดี - นั่นโฆษณาแอบแฝงซะเลย 555 (ขออภัยคุณหยกด้วยนะครับ ขอพื้นที่โฆษณานิดนึง)

27Nov. กลุ่มลูกค้าหลักคือ คนไทย ฮ่องกง ไต้หวัน มาเก๊า บวกกับญี่ปุ่นและเกาหลีอีกนิดหน่อยครับ ซึ่ง คนไทย กับ ฮ่องกง และไต้หวัน ไม่ได้เน้นหนาวอะไรขนาดนั้น (ลูกค้า require แค่ layers ครับ) แต่เพื่อตอบสนองกับลูกค้าหลักคือคนไทย หลังจากที่คอลเลคชั่นที่แล้ว ทางแบรนด์เปลี่ยนไปใช้โทนสี เทา ดำ แดง ขาว และสีทึมๆในคอลเลคชั่น 27Family คราวนี้เราเลยอยากกลับมาใช้สีสันเหมือนที่เคยเป็นมาตั้งแต่ต้น รวมถึงการผสมเสื้อผ้า "ลายชนลาย" หรือ "สูทลายทั้งชุด" ซึ่งบางคนบอกว่าลายบางลายดูไม่แพง และหาได้ตามตลาดทั่วไป (คงไม่ต้องบอกว่าใครพูดนะครับ) แต่อย่าลืมนะครับว่า 27Nov. เป็นเจ้าแรกๆเลยมังครับที่ผสมสูท+กางเกงลายเดียวกันทั้งตัว ตั้งแต่คอลเลคชั่นแรก Forever Young ซึ่งเสื้อผ้าจากงานนี้ก็ได้นำไปใช้เป็นคอนเซปต์เสื้อผ้าของ Peck Aof Ice ในอัลบั้ม Together จากนั้นเราก็จะเห็นการผสมลายชนลายมากขึ้น จะเห็นคนกล้าผสมสีผิดๆชนกันมากขึ้น และก็พับขากางเกงกันมากขึ้นหลังจากคอลเลคชั่น BabyFake เสื้อเชิ๊ตมาใส่กับกางเกงวอร์มใน Waterboys ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีการปรับเปลี่ยนกันไปตามเวลาครับ รวมถึงเทคนิค เพนต์สี / สะบัดสี / เขียนตัวหนังสือด้วยมือ / ฉีดสีลงบนเสื้อด้วยมือ / ปัก + ถัก หรืองานประดิษฐ์ด้วยมือลงบนตัวเสื้อ ก็คือเทคนิคที่ผมถือว่าเป็น signature ของทางร้าน ที่จะทำลงบนโครงเสื้อ/กางเกงแพทเทิร์นปกติ เพราะทางร้านไม่ได้เน้นการปรับเปลี่ยนแพทเทิร์น หรือแพทเทิร์นแปลกๆเลยสำหรับ 27Nov. เพราะกลยุทธ์ของทางร้านคือ ทำอะไรก็ได้ให้คนอยากซื้อไปใส่ เห็นแล้วอยากได้ ทำให้มันดูง่ายที่สุด และอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องมาใส่ของแบรนด์ทั้งชุด สามารถนำไปใส่กับยีนส์หรือเสื้อผ้าชิ้นเบสิคที่มีในตู้ ก็ปรับเปลี่ยนอารมณ์ไปตามแต่ผู้สวมใส่จะนำไปผสมตามรสนิยมครับ

ที่พิมพ์มายืดยาวขนาดนี้ (ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันยืดยาวได้ขนาดนี้) ไม่ได้ออกมาแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นนะครับ เพียงแค่อยากให้เห็นอีกมุมของการทำงาน ผมเชื่อว่าเราๆท่านๆก็เห็นงานกันมาเยอะไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ บางคนอาจจะเห็นมากกว่าผม บางคนอาจจะทำงานมาเยอะกว่าผมเสียอีก แต่การทำงานจริงมันมีอะไรให้คิด ทำ และแก้ปัญหาเยอะมากครับ ไม่มีใครไม่อยากทำไม่ดีหรอกครับ ยิ่งเป็นร้านเสื้อแล้วไม่มีใครอยากมี "ศัตรู" หรือ ไม่มีใครอยากจะทำเสื้อผ้าไม่สวยออกมาหรอกครับ เพราะสิ่งที่สามารถทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้คือ "ยอดขาย" ครับ เพราะฉะนั้นทำอย่างไรก็ได้ให้คนอยากซื้อเสื้อ ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันซึ่งคนเก่งๆเยอะมาก คลื่นลูกใหม่ก็เยอะมาก คนที่กำลังจะทำตัวเป็นคลื่นก็เยอะมาก การสื่อสารในโลกอินเตอร์เน็ตก็รวดเร็วมาก เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าร้านเสื้อทุกร้านแหล่ะครับ คงไม่อยากทำอะไรออกมาผิดหรือพลาดหรอกครับ แต่มันก็คงจะยากหากจะทำเสื้อผ้าออกมาให้ถูกใจทุกกลุ่ม ผมคิดเพียงแค่ว่า หากเราทำเสื้อผ้าแนวเราออกมา แล้วสามารถทำให้คนที่ชอบอีกกลุ่มในแนว minimal ได้หันมามองเสื้อของเรา แล้วนำไปมิกซ์แอนด์แมทช์กับที่เขามี แค่นี้ผมก็พอใจแล้วครับ รวมถึงให้กลุ่มลูกค้าเดิมของทางร้าน ยังกลับมาอุดหนุนเราต่อไปก็จะถือว่าสุดยอดแล้วจริงๆครับผม

หากมีคำพูดใดไม่เข้าหูไปบ้าง หรือขัดใจใครบางคนก็ท้วงติงได้นะครับ จะได้มาอธิบายใหม่จะได้หายมึน หายงงกันไปครับ 555 

ด้วยจิตเคารพครับ ^^
27Friday & 27Nov.


อ่านดูแล้วมันก็มุมมองของธุรกิจอ่ะครับ ประดับคามรู้ดีครับ


1 comment: